เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566 นายอนุกูล ปีดแก้ว ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (ปลัด พม.) เป็นประธานการประชุมนำเสนอผลการปฏิบัติงานภายใต้ MOU การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ และการจัดการรายกรณีในบริบทเด็กอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน โดยมี นางเตือนใจ คงสมบัติ รองอธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศและองค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) ณ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ ถนนสุขุมวิท กรุงเทพฯ
นายอนุกูล กล่าวว่า จากสถานการณ์ของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมา มีผู้อพยพโยกย้ายถิ่นฐานจากประเทศเพื่อนบ้านเป็นจำนวนมากขึ้น รวมถึงกลุ่มเด็กที่เดินทางติดตามพ่อแม่ ผู้ปกครอง และเด็กที่เดินทางโดยลำพัง โดยมีสาเหตุปัจจัยหลายประการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กที่มีความเปราะบาง จึงมีความท้าทายในการให้ความคุ้มครอง ช่วยเหลือ ทักษะการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ที่ต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญ และความเข้าใจเกี่ยวกับภูมิหลัง วิถีการดำเนินชีวิต หลักการทำงานด้านการคุ้มครองเด็กอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงการประสานงานเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนการดูแลตนเองด้านจิตใจของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
ทั้งนี้ กระทรวง พม. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ได้ดำเนินการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) เรื่อง การกำหนดมาตรการและแนวทางแทนการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับ และการจัดการรายกรณีในบริบทเด็กอพยพโยกย้ายถิ่นฐาน เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2562 เพื่อเป็นแนวปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานภาครัฐ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแก้ไขปัญหาการกักตัวเด็กไว้ในสถานกักตัวคนต่างด้าวเพื่อรอการส่งกลับตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง และกำหนดกลไกและหน้าที่ความรับผิดชอบที่ชัดเจนของหน่วยงานต่างๆ ในการสร้างหลักประกันว่าเด็กจะได้รับการคุ้มครองสิทธิตามกรอบกฎหมายภายในประเทศและพันธกรณีระหว่างประเทศของไทย
นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา กระทรวง พม. และภาคีเครือข่ายได้ร่วมกันดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดทำขั้นตอนปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐาน (Standard Operating Procedure - SOP) เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานมีแนวปฏิบัติในการช่วยเหลือเด็กจากห้องกักให้เป็นไปตามมาตรฐานสอดคล้องกับหลักสากล รวมถึงสร้างความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในการช่วยเหลือเด็ก โดยมีหลักการสำคัญ คือ เน้นให้เด็กอยู่ในบรรยากาศเลี้ยงดูแบบครอบครัว และให้สถานรองรับเด็กเป็นทางเลือกสุดท้าย จากการดำเนินงานพบว่า การจัดการรายกรณีสำหรับเด็กและครอบครัว เป็นแนวทางที่นำมาใช้ในการจัดบริการมาตรการทางเลือกแทนการกักตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการจัดการรายกรณี โดยใช้ชุมชนเป็นฐาน ส่งผลให้เด็กสามารถเข้าถึงบริการได้อย่างเป็นระบบ
นอกจากนี้ ยังได้มีการทบทวนขั้นตอนปฏิบัติงานและการพัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่สหวิชาชีพที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองเด็ก ซึ่งตั้งแต่ปี 2563 – 2566 ได้ดำเนินงานช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่อพยพโยกย้ายถิ่นฐาน รวม 654 ราย แบ่งเป็นเด็กชาย จำนวน 311 ราย และเด็กหญิง จำนวน 278 ราย พร้อมทั้งให้การช่วยเหลือมารดา/ผู้ดูแล จำนวน 65 ราย ทั้งหมดนี้ จะส่งผลให้เกิดความช่วยเหลือเด็กที่มีประสิทธิภาพ และทำให้ค้นพบข้อจำกัดในการดำเนินงานเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ในระดับพื้นที่ร่วมกัน โดยมุ่งเน้นที่ประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสาคัญ#ช่วย24ชั่วโมง #พม24ชม #ข่าวพม #esshelpme #วราวุธรับฟังทำจริง#พมพอใจให้ทุกวัยพึงพอใจในพม #พม.หนึ่งเดียว #เด็ก #IOM
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น