WHO ประกาศประชากรยุคใหม่มีภาวะสายตาสั้นมากกว่า 50% และที่น่าตกใจคือ มีประชากรโลกที่จะสายตาสั้น - 500 หรือ 5 ไดออปเตอร์ จำนวนถึง 1 พันล้านคนในปี 2050 เนื่องจากไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่เปลี่ยนไป ใช้สายตาในการทำกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้และการพักผ่อน เช่น เรียนออนไลน์ ดูยูทูป เล่นเกมส์ ฯลฯผ่านคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนในระยะใกล้ต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน[1],[2]จึงส่งผลต่อภาวะเสี่ยงสายตาสั้นในเด็ก
พต.หญิง พญ. ณัฐธิดา วงศ์วีระวัฒน์ จักษุแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคตาเด็กและกล้ามเนื้อตา (Pediatric ophthalmology and strabismus) หัวหน้าคลินิกสายตาสั้น (Myopia management clinic) ศูนย์ตา โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า “เด็กที่มีสายตาสั้นตั้งแต่อายุน้อยมีความเสี่ยงที่จะมีโรคตาตอนอายุมาก มากกว่า เด็กที่สายตาสั้นมาช้า หรือ late onset เพราะการเพิ่มค่าสายตาสั้นจะสะสมไปเรื่อยๆ ไม่ลดลง จนถึงอายุ18 ปี ซึ่งคนที่สายตาสั้นมากก็จะมีความเสี่ยงเป็นโรคตาตอนอายุมากขึ้น เช่น โรคจอประสาทตาหลุดลอกฉีกขาด เสื่อม หรือโรคต้อกระจกต้อหิน ฯลฯ มากกว่าคนที่สายตาสั้นน้อยหลายเท่า
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เด็กสายตาสั้นมากน้อยในแต่ละคน มี 4 ปัจจัยหลัก คือ 1. พันธุกรรม ถ้าพ่อแม่สายตาสั้น ลูกก็มีแนวโน้มจะสายตาสั้นได้ 2. เด็กที่คลอดก่อนกำหนดและมีปัญหาจอประสาทตาผิดปกติที่เรียกว่า ROP (Retinopathy of Prematurity) โดยเฉพาะ ได้รับการรักษาด้วย laser หรือฉีดยาเพื่อยับยั้งเส้นเลือดผิดปกติ กลุ่มนี้จะมีสายตาสั้นที่มาได้เร็วและเยอะ 3. เด็กที่มี near work activity หรือกิจกรรมที่ใช้สายตาใกล้ๆ เช่น อ่านหนังสือเยอะ เรียนเยอะ เล่นเกมส์เยอะ และ 4. เด็กที่มี outdoor activity น้อยกว่า 2 ชั่วโมงต่อวัน พบว่าการเริ่มสายตาสั้นมาเร็วกว่าเด็กที่มีกิจกรรมกลางแจ้งยาวนานกว่า 2 ชม.ต่อวัน
สำหรับผู้ปกครองที่มีบุตรหลานสายตาสั้น ต้องการชะลอหรือควบคุมการเพิ่มค่าสายตา หมอแนะนำให้ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์เด็กๆ ให้เขาได้มีกิจกรรมกลางแจ้งมากขึ้นเกิน 2 ชม.ต่อวัน และลดกิจกรรมใช้สายตาที่ใกล้ เป็นเวลานานๆ วิธีอื่นๆในการชะลอสายตาสั้นที่ได้การยอมรับทั่วโลก เช่น การหยอดยาชะลอสายตาสั้น การใส่เลนส์แว่นตาหรือคอนแทคเลนส์ชนิดพิเศษ
ที่อยากแนะนำเพิ่มเติมคือการเลือกแว่นสายตาสำหรับเด็ก ในช่วง 6-7 ปีนี้มีการพัฒนาเลนส์แว่นตาหลายรุ่นที่พัฒนาด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อควบคุมสายตาสั้นได้มากขึ้น เช่น เลนส์แว่นตาเทคโนโลยีใหม่ ที่ใช้หลักการ myopic defocus เป็นทางเลือกที่ดีมากในการชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาในเด็ก เนื่องจากใช้หลักการที่ช่วยชะลอสายตาสั้นได้จริงที่อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ และมีงานวิจัยรับรองที่ใช้ในเด็กจริงๆ มาหลายปีอย่างต่อเนื่องน่าเชื่อถือได้ ข้อดีคือเป็นวิธีที่ non invasive เมื่อเทียบกับการใช้ยาหยอดตา หรือใช้คอนแทคเลนส์ เพราะฉะนั้นการใส่เลนส์แว่นตาที่ช่วยชะลอการสายตาสั้นที่เป็นเทคโนโลยีใหม่และได้รับการรับรองจาก อย. มีงานวิจัยแน่ชัดแล้ว จึงเป็นทางเลือกที่ดีมาก”
ผู้เชี่ยวชาญแนะ สวมใส่แว่นตา ‘Stellest Lens’ วันละ 12 ชม.ชะลอการเพิ่มสายตาสั้นในเด็ก 67%
ดร.มายูมิ ฟาง นักทัศนมาตรและผู้จัดการฝ่ายวิชาการและการอบรม บริษัท เอสซีลอร์ลูซอตติกา โฮลเซล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง เลนส์แว่นสายตา ‘Stellest’ ซึ่งได้รับการรับรองจาก อย. และจัดเป็น Clinical Lens ที่มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดเพื่อชะลอการเพิ่มขึ้นของค่าสายตาในเด็กวัย 8-13 ปี ว่า “เลนส์แว่นตา Essilor® StellestTM เป็นโซลูชั่นล่าสุดจาก EssilorLuxottica ในการช่วยควบคุมสายตาสั้นในเด็ก ช่วยชะลอการเพิ่มค่าสายตาสั้นโดยเฉลี่ย 67%[3] เมื่อเทียบกับเลนส์สายตาชั้นเดียวหากสวมใส่วันละ 12 ชั่วโมง โดยมีผลการวิจัยทางคลินิกรองรับ
เลนส์ Essilor® StellestTM ช่วยแก้ไขภาวะสายตาสั้น มอบการมองเห็นที่คมชัด ด้วยโซนเลนส์ชั้นเดียว และยังช่วยควบคุมสายตาสั้นด้วยเทคโนโลยี H.A.L.T.[4] ที่มีกลุ่มเลนส์ขนาดเล็ก 1,021 เลนส์ที่ขนาดเล็กจนแทบมองไม่เห็น[5] เพื่อสร้างปริมาตรของสัญญาณแสงด้านหน้าจอประสาทตาของเด็ก ช่วยชะลอการยืดตัวของกระบอกตาด้วยการใส่ติดต่อกันอย่างน้อยวันละ 12 ชั่วโมง ลดความเสี่ยงของโรคตาต่างๆ[6] ที่จะส่งผลต่อการเติบโต การเรียนรู้ และพัฒนาการของเด็กในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นโรคต้อหิน (Glaucoma), ต้อกระจก (PSCs),จอประสาทตาลอก (Retinal detachment) และโรคจอประสาทตาเสื่อม (Myopic maculopathy) ซึ่งโรคเหล่านี้อาจนำไปสู่ความบกพร่องทางการมองเห็น[7]”
ลูกฉันสายตาสั้นหรือยังนะ?
คุณชนิดา สุวีรานนท์ คุณแม่ของสายลมและก้อนเมฆ จากเพจ ‘เรไรรายวัน’ เล่าถึงการสังเกตสายตาสั้นในลูกๆ ว่า “ตอนแรกเราไม่รู้ว่าลูกสายตาสั้น แต่จะเห็นเขาชอบเขียนและวาดรูปในระยะใกล้ เวลาดูทีวี ก็จะชอบมายืนดูใกล้ๆ ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเพราะเด็กมีสมาธิและกำลังจดจ่อ เลยไม่ทันนึก อีกทั้งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา น้องๆ เรียนออนไลน์ เราจึงไม่เห็นความผิดปกติการใช้สายตาของน้อง จนพอกลับไปเรียนตามปกติ คุณครูแจ้งว่าควรพาลูกไปตรวจสายตา เพราะน้องมองไม่ชัด หยีตาเวลาครูเขียนกระดาน พอตรวจก็พบเลยว่าน้องสายลมและก้อนเมฆสายตาสั้น ตอนแรกเราก็กลัวว่าถ้าเด็กใส่แว่นตาเขาจะไม่ชอบ แต่ปรากฏว่าเขาชอบมาก ทำกิจกรรมทั้งในและนอกห้องเรียนได้ตามปกติ ซึ่งเมื่อทราบว่ามีเลนส์ที่ช่วยชะลอภาวะสายตาสั้นในเด็กอย่าง Stellest เลนส์ เรายิ่งดีใจมาก เพราะนี่คือเทคโนโลยีเลนส์สายตาสั้นที่ผลิตมาสำหรับเด็กที่ดีที่สุดตอนนี้ ทำให้เราได้ช่วยดูแลและถนอมสายตาให้ลูก ป้องกันความเสี่ยงในการเกิดโรคทางสายตาเมื่อเขาโตขึ้น
อยากฝากผู้ปกครองควรพาบุตรหลานไปตรวจสายตาเป็นประจำทุกปี และให้คอยสังเกตบุตรหลาน เช่น ลูกมักหยีตาเมื่อมองไกลๆ ลูกต้องเดินเข้าไปดูสิ่งต่างๆ ในระยะใกล้ๆ หรือจดจ่ออ่านหนังสือ วาดรูปในระยะใกล้กว่าปกติ อาการซุ่มซ่าม เช่น เดินชนโต๊ะ เก้าอี้ สิ่งของบ่อยๆ และเด็กบ่นปวดหัว หรือปวดตาบ่อยๆ ก็ควรพาไปตรวจสายตาค่ะ ”
เลนส์ Stellest ใช้วัสดุเลนส์ที่น้ำหนักเบา บาง ป้องกันรังสี UV และยังทนทานต่อแรงกระแทกมากที่สุด[8]เพราะใช้วัสดุ Airwear®
เด็กจึงใส่สบาย และเหมาะกับวิถีชีวิตที่เต็มไปด้วยกิจกรรมของเด็กๆ สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://www.essilor.co.th/en/products/stellest หรือ ปรึกษาการตรวจวัดค่าสายตาให้แก่บุตรหลานได้ที่ร้านแว่นตาชั้นนำ Essilor Expert และ Essilor Partner ได้แล้ววันนี้
ผลการวิจัยทางคลินิกแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของเลนส์ ESSILOR® STELLESTTM
§ การวิจัยทางคลินิกในเด็ก 167 คน ที่มีภาวะสายตาสั้น เดือนกรกฎาคม 2018 โดย Essilor joint Research and Development Centre กับมหาวิทยาลัยทางการแพทย์เวินโจว ในประเทศจีน
§ ระยะเวลา 2 ปี หลังจากที่เด็กสวมใส่เลนส์แว่นตา Essilor® StellestTM จากการวิจัยพบว่าช่วยชะลอการเพิ่มของค่าสายตาสั้นโดยเฉลี่ย 67%3 เมื่อเทียบกับเลนส์สายตาชั้นเดียวหากสวมใส่วันละ 12 ชั่วโมงทุกวัน
§ หลังจากปีแรก การเติบโตของลูกตาของเด็ก 9 ใน 10 คนที่สวมใส่เลนส์แว่นตา Essilor® StellestTM ใกล้เคียงหรือช้ากว่าเด็กที่ไม่มีค่าสายตาสั้น
§ เลนส์ Essilor® StellestTM สวมใส่สบาย ง่ายในการปรับตัวสำหรับเด็ก ผลวิจัยแสดงให้เห็นว่า:
o สำหรับเด็ก การมองเห็นที่ชัดเจนเหมือนกับใช้เลนส์แว่นตาชั้นเดียว
o 100% ของเด็กปรับตัวได้ภายใน 1 สัปดาห์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น