คนละครึ่งเฟส 5 หมดเวลาใช้ใน 22.59 น. วันที่ 31 ต.ค. นี้ รีบใช้รบ.เล็งออกของขวัญปีใหม่ช่วยรักษากำลังซื้อต่อเนื่อง - MSK News

Breaking

Home Top Ad

วันศุกร์ที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คนละครึ่งเฟส 5 หมดเวลาใช้ใน 22.59 น. วันที่ 31 ต.ค. นี้ รีบใช้รบ.เล็งออกของขวัญปีใหม่ช่วยรักษากำลังซื้อต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 28 ต.ค. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการคนละครึ่ง เฟส5 เพื่อเป็นส่วนหนี่งของการรักษากำลังซื้อในประเทศ และการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน ช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้ร้านค้ารายย่อยและฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในภาพรวม โดยเริ่มให้ประชาชนผู้รับสิทธิใช้จ่ายตามโครงการมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 65 เป็นต้นมา โดยจะสามารถใช้จ่ายตามโครงการได้ถึงวันที่ 31 ต.ค. 65 นี้ หรือเวลาอีก 4 วันเท่านั้น

ดังนั้น จึงขอให้ผู้ที่ได้รับสิทธิและยังเหลือวงเงินให้รีบใช้สิทธิก่อนสิ้นสุดโครงการ คือภายในเวลา 22.59 น. ของวันที่ 31 ต.ค. 65 หากเลยระยะเวลาดังกล่าวจะถูกตัดสิทธิสำหรับวงเงินที่เหลือทันที
ทั้งนี้ ตามโครงการคนละครึ่ง เฟส5 รัฐบาลให้วงเงินสนับสนุนตลอดระยะเวลาโครงการรวม 800 บาท สามารถใช้จ่ายได้ไม่เกินวันละ 150 บาท มีผู้ใช้สิทธิจำนวน 24.02 ล้านคน ณ วันที่ 24 ต.ค. 65 มียอดใช้จ่ายรวมแล้ว 35,557.71 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นเงินที่ประชาชนจ่ายจำนวน 18,104.84 ล้านบาท และเงินที่รัฐร่วมจ่ายจำนวน 17,452.87 ล้านบาท

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า เพื่อรักษาแรงส่งการฟื้นตัวเศรษฐกิจให้ต่อเนื่องรัฐบาลโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 ต.ค. 65 ได้มีมติให้ทุกส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐเร่งพิจารณาแผนงาน/โครงการในความรับผิดชอบที่สมควรดำเนินการเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่แก่ประชาชน โดยโครงการหรือมาตรการจะต้องดำเนินการได้ในช่วงปีใหม่ และโครงการนั้นๆ ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย และประกาศเตือนของคณะกรรมการการเลือกตั้ง

“รัฐบาลได้เล็งเห็นว่าขณะนี้เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว ขณะที่ประชาชนบางส่วนถูกกระทบจากสถานการณ์อุทกภัย จึงต้องมีมาตรการเพื่อให้ความช่วยเหลือและถือเป็นของขวัญในช่วงปีใหม่ที่จะถึงนี้ด้วย โดยหลังจาก ครม.ได้มีมติไปเมื่อวันที่ 18 ต.ค.แล้ว ขณะนี้หน่วยงานต่างๆ อยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน/โครงการ ซึ่งเร็วๆนี้จะทยอยนำเสนอต่อ ครม. เพื่อให้มีผลดำเนินการได้ในช่วงปีใหม่ที่ตามระยะเวลาที่ ครม.กำหนดต่อไป” น.ส.ไตรศุลี กล่าว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น