นายอิทธิพล คุณปลื้ม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า เมื่อเร็วๆนี้ที่ประชุมสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีสมาชิกวุฒิสภา ได้ตั้งกระทู้ถามความคืบหน้ากระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) เรื่อง นโยบายการส่งเสริมการใช้พลังอำนาจอ่อน (Soft Power) เพื่อเป็นเครื่องมือพัฒนาประเทศนั้น ในฐานะผู้กำกับดูแล วธ. ได้มีการชี้แจงต่อที่ประชุม สว. ว่า ขณะนี้กระแสพลังอำนาจละมุน (Soft Power) ของไทยที่เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางไปทั่วโลก เช่น วัฒนธรรมไทย เครื่องแต่งกายชุดไทย อาหารไทย ต้มยำกุ้ง มัสมั่น ข้าวเหนียวมะม่วง ศิลปะไทย โนราห์ มวยไทย ฯลฯ ทำให้ไทยเป็นที่รู้จักระดับนานาชาติ เสริมสร้างภาพลักษณที่ดี ทั้งยังเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของไทย ช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ทางรัฐบาล จึงให้ความสำคัญกับการใช้ Soft Power เป็นเครื่องมือในการพัฒนาประเทศ ทั้งในมิติสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความมั่นคง และการสร้างเกียรติภูมิ ภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศไทยในเวทีโลก โดยมอบหมายกระทรวงวัฒนธรรม (วธ.) และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดแนวทางการสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัฒนธรรมไทย ผลิตภัณฑ์ด้านวัฒนธรรมไปสู่ตลาดต่างประเทศ สร้างรายได้ทางเศรษฐกิจ กระจายรายได้สู่ชุมชนและประเทศชาติ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวว่า การบูรณาการขับเคลื่อน Soft Power ด้วยมิติวัฒนธรรม วธ.ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคีเครือข่ายดำเนินงาน อาทิ โครงการเที่ยวชุมชน ยลวิถี และคัดเลือก 10 สุดยอดชุมชนต้นแบบ การพัฒนาแอปพลิเคชัน “เที่ยวเท่ ๆ เสน่ห์เมืองไทย” ที่ให้บริการสืบค้นข้อมูลเส้นทางท่องเที่ยวและชุมชนยลวิถี 76 จังหวัด การยกระดับเทศกาลประเพณีสู่ระดับชาติและนานาชาติ การขับเคลื่อนการเสนอแหล่งวัฒนธรรมเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมขององค์การยูเนสโก การจัดงานด้านวัฒนธรรมระหว่างประเทศ “งานมหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2 Thailand Biennale, Korat 2021” การส่งเสริมอุตสาหกรรมวัฒนธรรมและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ภายใต้กรอบแนวคิด “5F” สร้างชื่อเสียงและสร้างรายได้ในระดับสากล ประกอบด้วย อาหาร (Food) แฟชั่น (Fashion) ภาพยนตร์ (Film) ศิลปะการต่อสู้/มวยไทย (Fighting) และเทศกาลประเพณี (Festival) งานภาพยนตร์ วีดิทัศน์ สื่อ และอุตสาหกรรมสารัตถะ (Content Industry) โดยจัดทำแผน นโยบาย และมาตรการส่งเสริม Soft Power ด้วยมิติวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ในภาพรวมรัฐบาล ได้ขับเคลื่อนอำนาจละมุน (Soft Power) ของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม จนสำเร็จเป็นรูปธรรม ดังนี้ 1.มิติเศรษฐกิจ ที่สร้างรายได้ จากสินค้าและบริการทางวัฒนธรรม อาทิ สินค้าวัฒนธรรมและอุตสาหกรรมวัฒนธรรมสร้างสรรค์กว่า 1.45 ล้านล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8.9 ของ GDP การส่งออกอาหารไทยกว่า 1.1 ล้านล้านบาท คิดเป็นอันดับ 13 ของโลก ผ้าไทยกว่า 8.5 พันล้านบาท ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรมไทย (CPOT) และผลิตภัณฑ์ชุมชนไทย (CCPOT) ประมาณ 700 ล้านบาท อุตสาหกรรมสารัตถะ (Content) ของไทย สร้างรายได้ราว 200,000 ล้านบาทต่อปี เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน “เที่ยวชุมชน ยลวิถี” 786 ล้านบาท/ปี และการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในไทย ในปี 2564 จำนวน 5,000 ล้านบาท
2.มิติการส่งเสริมภาพลักษณ์ของประเทศ จากผลสำรวจของสื่อมวลชน นิตยสาร ผู้ให้บรืการบัตรเครดิต ในปี 2564 อาทิ ประเทศไทยเป็นประเทศที่รุ่มรวยด้านมรดกวัฒนธรรมเป็นลำดับที่ 7 ของโลก ของ US News ปี ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีอิทธิพลทางวัฒนธรรมเป็นเป็นลำดับที่ 5 ของโลก รายงานจากนิตยสาร CEO World ประเทศไทยเป็นอันดับ 1 สุดยอดจุดหมายปลายทางของโลก โดย Mastercard และประเทศไทยยังได้เป็นอันดับ 1 สุดยอดเมือง Workation ของโลก จาก Holidu รวมถึงการประกาศรับรองจังหวัดเพชรบุรีเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านอาหาร อีกทั้งมรดกทางวัฒนธรรมของไทยได้รับการประกาศจากยูเนสโก ไและขึ้นทะเบียนรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ ในปี 2561 2562 และ 2564 ตามลำดับได้แก่ โขน นวดไทย และโนรา
สำหรับในปี 2565 ประเทศไทยเป็นอันดับ 2 เมืองที่ดีที่สุดในโลกที่เหมาะสำหรับดิจิทัลโนแมด จากInstant Offices ประเทศไทยเป็นอันดับ 35 จากการจัดอันดับ Soft Power Index อีกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น