นายจุติ กล่าวชื่นชมการบริหารจัดการสังคมผู้สูงอายุของญี่ปุ่น ถึงแม้จะมีผู้สูงอายุจำนวนมากที่สุดในโลก แต่ยังสามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งไทยอาจไม่สามารถทำได้ถึงระดับดังกล่าว เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ ในขณะที่ นายโอกูระ มาซาโนบุ รัฐมนตรีด้านความเสมอภาคทางเพศฯ กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นได้ให้ความสำคัญกับการเตรียมความพร้อมและการดูแลผู้สูงอายุมานานกว่า 20 ปี และทุ่มงบประมาณเกือบ 1 ใน 3 สำหรับเรื่องนี้ ซึ่งขณะนี้ ญี่ปุ่นกำลังประสบปัญหาเรื่องการขาดแคลนผู้ดูแล และใช้วิธีให้หน่วยงานท้องถิ่นบริหารจัดการการดูแลผู้สูงอายุ
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากผลการสำรวจพบว่า ไทยติดอันดับประเทศที่น่าใช้ชีวิตอยู่หลังเกษียณ ซึ่งตนได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของตลาดกลุ่มผู้เกษียณอายุของชาวต่างชาติและชาวญี่ปุ่น โดยจะเชิญชวนให้มาท่องเที่ยวและพักผ่อนในไทยทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทั้งนี้ กระทรวง พม. จึงบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อนำร่องจัดบริการด้านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุแบบครบวงจร รวมทั้งการฝึกอบรมผู้ดูแล (Care Giver) มืออาชีพในจังหวัดเชียงใหม่และขอนแก่น เพื่อดึงดูดผู้สูงอายุชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นให้มาใช้ชีวิตในไทย โดยคาดหวังว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการได้ภายใน 6 เดือนนับจากนี้ นอกจากนี้ ทั้งสองฝ่ายได้เห็นตรงกันว่า สังคมสูงอายุสร้างความท้าทายให้กับรัฐบาลของทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลจำเป็นต้องพร้อมรับมือกับความท้าทายดังกล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น