สำหรับการฟ้องร้องศาลปกครองเป็นคดีความในเรื่องของค่าเดินรถนั้น เพื่อไม่ให้ล่าช้าไปจนถึงคดีความสิ้นสุด ซึ่งจะต้องมีค่าดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้นตลอดนั้น ได้มีการพูดคุยและเห็นร่วมกันว่าจะมีการตั้งคณะทำงานเพื่อมาพูดคุยเรื่องตัวเลขต่าง ๆ ที่อาจยังมีความเห็นต่างกันอยู่ รวมทั้งในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการเดินรถ เพื่อดูในข้อเท็จจริงที่เป็นปัจจุบัน ซึ่งอาจมีปัจจัยหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป เช่น เรื่องของเทคโนโลยีต่าง ๆ หรือในส่วนของค่าโฆษณาบนตัวรถไฟฟ้าที่ไม่มีการระบุไว้ในสัญญาทั้งส่วนที่1 และส่วนที่ 2 และในเรื่องที่การมีส่วนต่อขยายเพิ่มขึ้นส่งผลให้จำนวนผู้โดยสารในส่วนสัญญาสัมปทานเพิ่มขึ้นด้วยนั้นจะต้องมีการพูดคุยในรายละเอียด
ทั้งทางเคทีและทางบีทีเอสซี แต่ละฝ่ายก็จะไปตั้งคณะทำงานเพื่อไปดูในข้อมูลต่าง ๆ แล้วจึงนำข้อมูลที่ต่างฝ่ายได้พิจารณาแล้วมาให้ทางคณะกรรมการชุดย่อยที่มีตัวแทนทั้ง 2 ฝ่าย นำมาพูดคุยกัน โดยในส่วนของเคทีก็จะมีการจ้างบริษัทที่ปรึกษาซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเข้ามาดูข้อมูลให้รอบคอบ ทั้งนี้หากการพูดคุยร่วมกันทั้ง 2 ฝ่ายเป็นที่ยุติได้เร็วก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่าการรอให้คดีความสิ้นสุด ซึ่งในวันนี้ภาพรวมทางบีทีเอสซีก็พร้อมที่จะพูดคุยกันในข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผล ซึ่งก็ต้องขอเวลาให้ทางคณะทำงานได้ทำงานกันก่อน หากมีความชัดเจน มีความคืบหน้า ก็สามารถนัดหมายพูดคุยกันได้อีก
ศาสตราจารย์พิเศษธงทอง กล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นการจัดเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต-คูคต และส่วนต่อขยายจากแบริ่ง-สมุทรปราการที่เดินรถฟรีมานานนั้น ไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของเคที เป็นการตัดสินใจของกทม. ในเรื่องนี้ได้รับข้อมูลจากทางบีทีเอสซีเพื่อไปแจ้งกับทางผู้บริหารกทม.ว่า เมื่อมีการตัดสินใจกำหนดอัตราค่าโดยสารเป็นเท่าไรแล้วนั้น ทางบีทีเอสซีจะต้องใช้เวลาในการปรับระบบต่างๆ ป้ายแจ้งต่าง ๆ ในสถานี ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือน ที่จะดำเนินการเตรียมระบบรองรับ ซึ่งจะนำไปเรียนทางกรุงเทพมหานคร ต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น