มท.จับมือภาคีเครือข่าย ผนึกกำลังประกาศ ‘MISSION 2023’ มุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน - MSK News

Breaking

Home Top Ad

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2565

มท.จับมือภาคีเครือข่าย ผนึกกำลังประกาศ ‘MISSION 2023’ มุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน


กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับ ภาคีเครือข่าย ผนึกกำลังประกาศ ‘MISSION 2023’ มุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ : มาตรการทดแทนปูนเม็ด มุ่งส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิกในการก่อสร้าง เพื่อสร้างสิ่งที่ดี Change for Good ให้เกิดงานก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ช่วยลดภาวะโลกร้อน อย่างยั่งยืน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานร่วมและกล่าวสนับสนุนต่อความร่วมมือดำเนินงานในพิธีประกาศ ‘MISSION 2023’ ผนึกกำลังมุ่งเป้าลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์: มาตรการทดแทนปูนเม็ด เมื่อวันที่ 29 มี.ค. 65 เวลา 10.00 น. ที่ห้องแกรนด์ บอลรูม โรงแรมแชงกรี-ลา กรุงเทพฯ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม นายประยูร อินสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวันชัย วราวิทย์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธานร่วมและกล่าวสนับสนุน นายสุเมธ มีนาภา รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง นายชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย และภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ร่วมงาน โดยมี นายพิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าวรายงาน

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยมีความมุ่งมั่นในการร่วมเป็นภาคีสำคัญเพื่อ Change for Good สร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้นกับประเทศไทยและโลกใบนี้ เพื่อช่วยรักษาโลกใบเดียวของเราที่มีอยู่ให้คงอยู่มีอายุยืนยาว อยู่รอดปลอดภัยจากภาวะโลกร้อน ตามที่ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change Conference of the Parties: UNFCCC COP) สมัยที่ 26 หรือ COP26 อย่างชัดเจนว่า “เราไม่มีแผนสำรอง No plan B เพราะเรามีโลกใบเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยของมวลมนุษยชาติ” โดยสิ่งที่เราทำในวันนี้นับว่าเป็นสิ่งที่เราทุกคนได้ช่วยกันทำบุญให้กับมวลมนุษยชาติร่วมกัน ซึ่งในบรรดามวลมนุษยชาติจำนวนมากนั้น ก็มีญาติพี่น้องและลูกหลานของเราอยู่ด้วยที่จะได้อยู่อาศัยในโลกที่แสนจะสวยงามใบนี้ หลังจากที่พวกเราล่วงลับไปแล้วในอนาคต

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวต่อว่า กระทรวงมหาดไทยให้ความสำคัญในการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals : SDGs) ที่เป็นเป้าหมายเดียวกันของนานาประเทศทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยการน้อมนำแนวพระดำริของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ที่ทรงมุ่งมั่นในการรักษาและต่อยอดแนวพระราชปณิธานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในการส่งเสริมการใช้ผ้าไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการรักษาภูมิปัญญาอัตลักษณ์ของบรรพบุรุษให้คงอยู่แล้ว ยังมีส่วนช่วยในการลดภาวะโลกร้อนด้วย เพราะสิ่งที่เป็นพระวิสัยทัศน์อันแสดงถึงสายพระเนตรที่ยาวไกลของพระองค์ท่านในเรื่องดังกล่าวที่อยู่ในพระดำริ นั่นคือ ทุกขั้นตอนกระบวนการผลิตด้วยการพึ่งพาตนเองของชาวบ้าน ทั้งการปลูกฝ้าย ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ย้อมสีผ้าด้วยสีธรรมชาติ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563 ให้ทุกภาคส่วนร่วมกันสวมใส่ผ้าไทยในจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ ไม่น้อยกว่า 2 วัน และประโยชน์อีกประการหนึ่ง คือ การที่เราสวมใส่ผ้าไทย ทำให้เราไม่ต้องเปิดแอร์อุณหภูมิที่ต่ำมาก ทำให้ลดการใช้พลังงาน ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ส่งผลการเกิดก๊าซเรือนกระจก นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 12 สิงหาคม 2565 ที่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 90 พรรษา กระทรวงมหาดไทย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ได้ร่วมกันผลักดันขับเคลื่อนสิ่งที่สนับสนุนเป้าหมายเดียวกันกับพวกเรา ด้วยการรณรงค์ให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาคอุตสาหกรรม ภาคธุรกิจในพื้นที่จังหวัด ร่วมกันคัดแยกขยะเปียกออกจากถังขยะทั่วไป และรณรงค์การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน ด้วยการทำปุ๋ยหมักระบบปิดประจำครัวเรือน ซึ่งที่ผ่านมาพี่น้องประชาชนจำนวน 12 ล้านครัวเรือนที่เป็นเป้าหมายขั้นต่ำในทุกพื้นที่ของประเทศไทยได้ร่วมกันขับเคลื่อนกระทั่งสามารถลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) 5 แสนตันต่อปี เทียบเท่าการปลูกต้นไม้ประมาณ 65 ล้านต้น จึงขอใช้โอกาสนี้ในการเชิญชวนให้ผู้บริหารภาครัฐ ภาคธุรกิจเอกชน สื่อมวลชน และทุกภาคส่วน ได้ช่วยกันขยายผล ทั้งการสวมใส่ผ้าไทย การคัดแยกขยะ และการจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อนในครัวเรือน เพื่อสร้างสิ่งทีดีให้เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นกับประเทศไทย และเกิดขึ้นกับโลกใบเดียวของเรานี้ให้เพิ่มมากขึ้น

นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า การประกาศความร่วมมือในด้านการลดก๊าซเรือนกระจก 1,000,000 ตัน CO2 สู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ : มาตรการทดแทนปูนเม็ดในวันนี้ ถือเป็นส่วนสำคัญในการรวมพลังกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อให้โลกใบนี้อยู่รอด ด้วยการใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิก ซึ่งกระทรวงมหาดไทยโดยกรมโยธาธิการและผังเมือง ได้จัดทำมาตรฐานกำหนดคุณลักษณะเฉพาะของวัสดุใช้ในงานโครงสร้างอาคาร หรือ มยผ. ตั้งแต่ มยพ. 1101-1106 โดยกำหนดให้การก่อสร้างต่าง ๆ ต้องใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิกหรือซีเมนต์ที่ลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในภาคการก่อสร้าง

“กระทรวงมหาดไทยจะได้เชิญนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแห่งประเทศไทย และนายกสมาคมองค์การบริหารส่วนจังหวัดแห่งประเทศไทย ร่วมกับกรมโยธาธิการและผังเมือง และกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กำหนดให้การใช้ซีเมนต์ไฮดรอลิกเป็นแนวทางการใช้ปูนซีเมนต์สำหรับการก่อสร้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นการทั่วไป เพื่อช่วยในการที่จะลดโลกร้อน ทำให้สิ่งที่พวกเราตั้งใจไว้บรรลุผลสำเร็จโดยเร็ววัน และขอเชิญชวนให้พวกเราทุกคนช่วยกันขับเคลื่อน ช่วยกันผลักดัน และกลับไปดำเนินการโดยทันที เพื่อให้โลกของเราอยู่คู่กับมนุษยชาติเพื่อลูกหลานของเราอย่างยั่งยืนต่อไป” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้าย

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ปัจจัยความสำเร็จไปสู่เป้าหมายที่เราวางไว้ร่วมกับประชาคมโลก มี 4 ประการ คือ 1) นโยบายภาครัฐและกฎหมายประเภทต่าง ๆ 2) ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน 3) การลงทุน และ 4) เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “เราต้องทำให้ได้จริง”

นายกอบชัย สังสิทธิสวัสดิ์ ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญต่อการยกระดับอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน การพัฒนาอุตสาหกรรมสีเขียว อุตสาหกรรมเชิงนิเวศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต รวมทั้งการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม มอก. 2594-2556 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้ภาคอุตสาหกรรมปรับตัวและสร้างความมั่นใจแก่ผู้ใช้งานในการมีคนร่วมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า กระทรวงคมนาคมมีส่วนเกี่ยวข้องในการลดภาวะโลกร้อนใน 2 สาขา คือ 1) สาขาคมนาคมขนส่ง โดยส่งเสริมให้ประชาชนใช้ระบบรางหรือรถไฟ ซึ่งช่วยให้ลดการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล ทำให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างต่อเนื่อง และ 2) สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและการใช้ผลิตภัณฑ์ โดยส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีที่ทันสมัยในการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ส่งเสริมให้ทุกหน่วยงานในสังกัดปรับเปลี่ยนมาใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและยังคงไว้ซึ่งวัตถุประสงค์ในการใช้งาน

ดร. พิรุณ สัยยะสิทธ์พานิช เลขาธิการสำนักงานนโนบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า สำนักงานนโนบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในฐานะหน่วยประสานงานกลางของอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มุ่งบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อให้เกิดจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่เป็นรูปธรรมที่สำคัญ เป็นต้นแบบขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่น ๆ ในการลดก๊าซเรือนกระจกให้สำเร็จตามแผนที่นำทางลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ ด้วยการเป็นหน่วยประสานการผนึกกำลังจาก 25 พันธมิตร ภาครัฐ ภาควิชาชีพ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษา ด้วยการปรับเปลี่ยนไปใช้วัสดุก่อสร้างประเภทปูนซีเมนต์ไฮดรอลิกที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมมุ่งมั่นก้าวสู่ความท้าทายใหม่ 'MISSION 2023' กับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 1,000,000 ตัน CO2 ในปี 2566

นายชนะ ภูมี นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (ICMA) กล่าวว่า 'MISSION 2023' เป็นภารกิจ
เดินหน้าทำงานร่วมกับพันธมิตร เพื่อยกระดับสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน สาขากระบวนการทางอุตสาหกรรมและ
การใช้ผลิตภัณฑ์ มาตรการทดแทนปูนเม็ดด้วยการมุ่งผลิตปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้
1,000,000 ตัน CO2 ภายในปี 2566 พร้อมกับประกาศความสำเร็จในปีที่ผ่านมา จากความมุ่งมั่นทำงานจนประสบความสำเร็จสามารถบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ถึง 300,000 ตัน CO2 ซึ่งเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้

“การแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องใหญ่ที่มิใช่กระทบต่อวิถีชีวิตคนไทย แต่มันกระทบต่อทุกอณูชีวิต ทุกลมหายใจของมนุษย์ทั้งโลก ซึ่งผู้นำทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องทำเป็นแบบอย่างในลักษณะ “ผู้นำต้องทำก่อน” ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพี่น้องประชาชนและทุกภาคส่วนในการช่วยกันดูแลชุมชน ดูแลท้องถิ่น ทำบุญกับโลกใบนี้ของเรา ซึ่งกระทรวงมหาดไทยจะได้บูรณาการภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องขับเคลื่อนต่อยอดขยายผล ทำให้การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกมันลดน้อยถอยลง เพื่อประเทศไทยก้าวไปสู่เป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 1,000,000 ตัน CO2 ในปี 2566อันจะทำให้ประเทศไทยอยู่คู่กับโลก โลกของเราอยู่คู่กับจักรวาล คู่กับมวลมนุษยชาติไม่มีวันสิ้นสุด ซึ่งมันจะไม่มีทางเป็นไปได้ “ถ้าวันนี้เราไม่ทำทันที”” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเน้นย้ำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น