ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนที่ 30 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอบคุณทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่มีส่วนกับผลสำเร็จจากการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการ นายกรัฐมนตรีเดินทางในครั้งนี้ ถือเป็นผู้แทนคนไทยทุกคนทั้งที่อยู่ในประเทศไทย และคนไทยที่อยู่ที่ซาอุดีอาระเบีย ภูมิใจแทนคนไทยทุกคน ที่ฝ่ายซาอุดีอาระเบียให้การต้อนรับอย่างเต็มที่ สมเกียรติ ซึ่งได้นำไปสู่การปรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียให้เป็นปกติ และเริ่มการวางแนวทางความร่วมมือในสาขาต่าง ๆ ในอนาคต ทั้งด้านแรงงาน การค้าและการลงทุน และการท่องเที่ยว สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจและมุ่งมั่นของนายกรัฐมนตรีและรัฐบาล เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พี่น้องคนไทยและประเทศชาติ นำความร่วมมือ ซึ่งจะเป็นการพัฒนามหาศาลกลับมาสู่ประชาชนอย่างแท้จริง
โฆษกรัฐบาลกล่าวว่า เป็นผลสำเร็จจากความพยายามของรัฐบาล ที่สามารถทำให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์อย่างหลากหลายจากการปรับระดับความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-ซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุน เพราะตลาดซาอุดีอาระเบียมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศอาหรับ และเป็นตลาดการลงทุนสำคัญของไทย จะทำให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้ามากขึ้น โดยข้อมูลจากหอการค้าไทย ในปี 2564 ไทยมีการทำการส่งออกไปซาอุดีอาระเบียประมาณ 1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 45,000 ล้านบาท) คิดเป็นเพียง 0.6% ของการส่งออกทั้งหมดจากประเทศไทย หากไทยสามารถทำการค้ากับซาอุดีอาระเบียได้เพิ่มขึ้น จะทำให้สัดส่วนทางการค้า และการส่งออกไปประเทศซาอุดีอาระเบียอยู่ที่ประมาณ 2.2% ของการส่งออกทั้งหมด ได้เหมือนปี 2532 ซึ่งหมายถึงปริมาณการค้าจะเพิ่มขึ้นไปถึงประมาณ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 150,000 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ยังจะเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจไทยในตลาดสินค้ารถยนต์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับพลังงาน พลังงานสะอาด อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอาหาร และอาหารแปรรูป อาหารฮาลาล สินค้าเกษตร เครื่องจักรกล เครื่องประดับ อุปกรณ์ไฟฟ้า Medical Hub และวัสดุก่อสร้าง รวมถึงสินค้าที่มีโอกาสสร้างรายได้เพิ่มเติม คือสินค้าในกลุ่มเครื่องจักรอุตสาหกรรม รถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ คิดเป็นร้อยละ 27.5 ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งล้วนเป็นสินค้านำเข้าสำคัญของซาอุดีอาระเบีย และสอดคล้องกับสินค้าส่งออกสำคัญของไทยด้วยเช่นกัน
สำหรับผลประโยชน์ด้านแรงงาน จะทำให้ทั้งแรงงานมีฝีมือและแรงงานกึ่งฝีมือได้กลับไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ ช่วงที่ซาอุดีอาระเบียมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่จำนวนมากเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ซึ่งในอดีตเคยมีแรงงานไทยในซาอุดีอาระเบียกว่า 3 แสนคน สามารถสร้างรายได้ส่งกลับไทยมากกว่า 9 พันล้านบาทต่อปี
ส่วนด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการต่างประเทศ คาดว่าจะมีชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาท่องเที่ยวไทยเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่าหลังการปรับความสัมพันธ์ ประเมินรายได้จากการท่องเที่ยวของชาวซาอุดิอาระเบียในไทย น่าจะอยู่ประมาณไม่ต่ำกว่าปีละ 5 พันล้านบาท ซึ่งชาวซาอุดีอาระเบียมีศักยภาพสูงในแง่การจับจ่ายใช้สอย เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะส่งเสริมไทยในด้าน Medical Hub และ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ Thailand Wellness
“ผลประโยชน์ของประเทศไทยและต่อพี่น้องชาวไทยที่เกิดจากการเยือนซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรีล้วนมาจากความตั้งใจของนายกรัฐมนตรีต่อประเทศชาติ นายกรัฐมนตรีขอบคุณทุกเสียงที่ชื่นชมผลสำเร็จของการทำงานในครั้งนี้ ซึ่งจะเป็นกำลังใจสำคัญในการทำงานต่อไปของนายกรัฐมนตรี พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมแผนรองรับโอกาสที่ทั้งทางด้านการค้า การลงทุน แรงงาน และการท่องเที่ยว ที่เข้ามาพร้อมกับการเปิดความสัมพันธ์ครั้งนี้ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมถึงประชาชนโดยเร็ว” นายธนกร กล่าว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น