ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 21 พ.ย. ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานกล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “จับมือ รวมใจ พาไทยรอด”ในงานสัมมนาหอการค้าทั่วประเทศ ครั้งที่ 39 โดยมีพล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯกทม. นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สมาชิกหอการค้า ผู้ว่าราชการจังหวัด ร่วมงาน
อย่างไรก็ตาม สำหรับงานดังกล่าวนอกจากจะมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดแล้ว ผู้ร่วมงานทุกคนจะต้องมีผลตรวจ ATK ยืนยันตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขด้วย
ทั้งนี้ในบางช่วง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นอย่างมากมายมีพันธสัญญาเกิดขึ้นกับกลุ่มต่างๆ ประเทศต่างๆ ที่ตั้งขึ้นมา จึงไม่สามารถที่จะไปคัดค้านได้เนื่องจากเป็นมติของส่วนใหญ่ จึงได้เสนอข้อ 18 ต่างๆ ไป ที่สามารถทำได้ เช่น CPTTP หรือ Comprehensive and Progressive Agreement of Trans-Pacific Partnership คือ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก ที่ครอบคลุมในเรื่องการค้า การบริการ และการลงทุนเพื่อสร้างมาตรฐานและกฎระเบียบร่วมกันระหว่างประเทศสมาชิก ทั้งในประเด็นการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา มาตรฐานแรงงาน กฎหมายสิ่งแวดล้อม รวมถึงกลไกแก้ไขข้อพิพาทระหว่างรัฐบาลและนักลงทุนต่างชาติ ยอมรับว่ามีข้อเสีย แต่ก็มีข้อดีด้วยเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรให้สามารถเจรจากับเขาได้ก่อนเท่านั้นเอง แต่ยอมรับว่ายังไม่ใช่เวลานี้ สามารถทำข้อสงวนได้ทั้งหมด อันไหนไม่ได้ ยังไม่ได้ตกลงว่าจะรับหรือไม่รับ
ต้องกลับมาตกลงกันอีกครั้งหนึ่ง แต่หากไม่ร่วมเจรจาในวันนี้ วันข้างหน้าเมื่อสมาชิกอื่นๆ เข้ามาอีกจำนวนมาก เราจะไม่มีโอกาสเสนอข้อสงวนอีกเลย ขอให้จำคำพูดของตนตรงนี้ไว้ ทุกอย่างมีปัญหาทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นจะต้องใช้สติปัญญาให้รอบคอบในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ได้ไม่ได้ ถูกผิดมันไปไม่ได้ ในโลกปัจจุบันนี้ให้เป็นไปตามกฎหมาย ตามกฎระเบียบของเรา ให้ถูกต้องเท่านั้น ซึ่งต้องระมัดระวังอย่างที่สุดและระมัดระวังอย่างไรเพื่อจะไม่ให้เดือดร้อน
ขอให้แปลเจตนารมณ์ของตนให้ถูกต้อง โดยเฉพาะสื่อหากวันหน้าเกิดปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้น อย่างวันนี้มีข้อตกลงพันธสัญญาอาเซปซึ่งผ่านมาเกือบ 2 ปียังเริ่มใช้กันไม่ครบ เพราะฉะนั้น มันไม่ได้เร็วขนาดนั้น กว่าจะตกลงกว่าจะเจรจากันได้ แต่จะได้ไม่ตกหล่นและมีสิทธิ์มีอะไรมากพอสมควร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีหลายด้าน เรามีทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และเรามีปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือความยากจน ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม
ปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งหมดได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงประเด็นและจัดสรรงบประมาณในโครงการต่างให้ตรงเป้าหมาย แต่ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ จึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันดูยุทธศาสตร์ชาติว่าทำงานกันโดยอย่างไร พร้อมระบุว่า ตนยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเรื่องการยึดครองอำนาจหรืออะไรทั้งสิ้น
"ในเรื่อง 20 ปีโดยผมยังอยู่มันไม่ใช่ ทุกคนทุกวันตื่นขึ้นมารู้หรือไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร วันนี้จะอยู่หรือจะตายไม่มีใครรู้ แต่ที่เรารู้คือเราจะวางอนาคตข้างหน้าอย่างไร เป็นสิ่งที่ผมคิดใน 6 ยุทธศาสตร์ชาติ จึงมีแต่หัวข้อกำหนด ผมถามว่ายังมีอีกกี่เรื่องที่ต้องทำ มีอีกกี่แผนแม่บท และเรายังต้องมีการปฏิรูปด้วย อย่าลืมว่ามีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน มีกฎระเบียบตรงไหนที่ต้องดำเนินการ"นายกรัฐมนตรี กล่าว และว่า ถ้าต่างคนต่างทำก็ยังเป็นอยู่แบบเดิม ตนไม่ต้องการให้การทำงานเป็นแบบไซโล แต่อยากให้ทุกกระทรวง ทุกหน่วยงานคุยกัน ตนไม่ต้องการไปก้าวล่วง ยกเว้นการบูรณาการงานยังไม่เรียบร้อย เช่น เรื่องการบินเข้าประเทศ ตนต้องตรวจสอบทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องแผนงานทั้งกระทรวงคมนาคม กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงท่องเที่ยว
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าตนไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี เราต้องให้เกียรติในฐานะเป็นเพื่อนร่วมงาน ด้วยความหวังดี เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร แม้จะเป็นการปกครองแบบพิเศษก็ต้องคุยกัน แต่ก็ต้องคุยกับท่านในทางสร้างสรรค์ เป็นพี่เป็นน้องกัน การไปเยี่ยมเยียนก็เป็นการทำงานไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองอะไรทั้งสิ้น สังคมไทยแตกต่างจากต่างประเทศ การขาดการติดต่อสื่อสารจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในเวลา 7 ปีที่ผ่านทุกอย่างอยู่ในศีรษะของตน บางอย่างไปได้เร็ว บางอย่างไปได้ช้า บางอย่างติดขัด แต่ถ้ามาช่วยคิดให้ตรงกันทุกอย่างจะไปได้หมด แต่ถ้าขัดกันไปขัดกันมา ตรงนั้นดี ตรงนั้นไม่ดี หรือต้องดีกว่านี้อีก ทั้งนี้ ถ้าเรามาช่วยกันทำให้ดีให้ครบเดินหน้าเป็นสเต็ปไปจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่างบประมาณเราก็มีแค่นี้ เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ โครงการที่รัฐบาลทำมาทั้งหมด อาทิ โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกกลุ่ม
โดยเข้าถึงประชากร 40 ล้าน หรืออย่างน้อย 20 ล้านคน ทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด คือมีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อย มีเหตุมีผล มีความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดีภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม ขอร้องว่าอย่าให้ใครมาบิดเบือน เพราะความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด ตนเข้าใจดี แต่เราต้องพอประมาณไม่เช่นนั้นหนี้จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จะกลายเป็นหนี้นอกระบบ วันนี้เทคโนโลยีเจริญรวดเร็ว คนของเราจึงต้องมีหลักคิดมีหลักการ และกระบวนการ ไม่ใช่พอนับ 1 ก็กระโดดไป 10 เลย แต่ตนพร้อมจะทำให้ดีที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งที่รัฐบาลพยามทำคือการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนจะต้องเข้าถึงถึงโอกาส อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันจะละเมิดซึ่งกันและกันไม่ได้ และความเป็นธรรมในการดูแลผู้มีรายได้น้อยเกษตรกร กลุ่มเปราะบางและอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนจะต้องจับมือไปด้วยกัน โดยเอาหลักการมาด้วยกัน และดูว่าใครจะทำตรงไหน ยึดโยง และดูว่าปัญหาอุปสรรคอยู่ตรงไหน ไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่ได้
กฎหมายกี่ร้อยกี่พันฉบับรัฐบาลแก้ไปแล้วเกิน 50% ที่ติดอยู่เพราะไม่ผ่านโดยเฉพาะการประชาพิจารณ์ แต่ถ้าไม่แก้ตรงนี้ก็ไปไม่ได้ เพราะความต้องการยังเหมือนเดิมคือ ตัวเองไม่อยากเปลี่ยนแปลงแต่อยากได้สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกฎหมายและกฎระเบียบ
“เรื่องของการลงทุนถ้าผมเป็นเจ้าของธนาคารผมจะให้ทั้งหมด ในเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแต่มันไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเอกชนที่มีผู้ถือหุ้น จะไปสั่งให้ลดนั่นลดนี่ทำไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ว่าทำไมนายกฯไม่สั่ง การจะจัดสรรอะไรต้องคิด ต้องปรึกษา ต้องมีคำตอบจากคณะทำงานว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าสั่งได้ผมสั่งให้ทั้งหมดไปแล้ว แต่ถ้าทำจริงก็จะหาว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก แค่ผมสั่งให้ทหารปลูกผักชี พูดไม่ครบถึงผักชนิดอื่นก็โดนแล้ว ทหารเขาปลูกไว้กินใครจะซื้อก็ซื้อ ใครไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องไปซื้อของแพง ทหารปลูกไว้แจกด้วยซ้ำ เขาปลูกอยู่แล้วในค่ายทหาร ไม่ได้ว่าจะไปแข่งกับใคร ถ้าใครลำบากก็มาซื้อในที่ทหาร เรื่องรถขนส่งก็เช่นกัน ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ ขาดแคลนสินค้าขนส่งก็มาขอทหารผมต้องช่วย"
ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เปิดการขนส่งแข่งกับใครอย่าไปฟังเขาบิดเบือน ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นมาไม่มีรถวิ่งเลยแล้วจะทำอย่างไร จะให้แบกกระสอบเดินกันหรือ พูดไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่บางทีก็ถูกบิดเบือนเยอะแยะไปหมด ส่วนเรื่องการผ่อนปรนการชำระหนี้ทำไปหมดแล้ว แต่ถ้าจะกู้มากกว่านี้สามารถทำได้ถ้าทุกคนยอมรับ ทั้งนี้ เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นในปี 2565-2566 -2567 ถ้าโรคระบาดไม่กลับขึ้นมาอีกหรือมีอย่างอื่นเข้ามาอีก เช่น ความขัดแย้งในภูมิภาคอาเซียนหรือทะเลจีนใต้ หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เราจะต้องดูตรงนั้นด้วย รวมถึงราคาน้ำมันเป็นอย่างไร ปตท.อยู่กับใคร ต้นทุนการผลิตมีอะไรบ้าง ภาษีเก็บจากตรงไหน เก็บอย่างไร ต้องส่งคืนกระทรวงการคลังหรือไม่
ทุกอย่างยึดโยงกันทั้งหมด ตอนนี้พยายามพยุงราคาน้ำมันดีเซลให้ได้ในราคาลิตรละ 30 บาท แต่ถ้าลดลงได้อีกก็จะพยายาม เราต้องคิดให้เป็นต้องหาข้อมูลให้ครบ ถ้าไม่ช่วยกันก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งหมดยืนยันโอกาสของประเทศไทยสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจสร้างความแข็งแกร่งได้ แต่ต้องแข็งแกร่งอยากยั่งยืน ไม่ใช่ยั่งยืนแบบหลวมๆ หรือหลอกกันไปมา จึงจำเป็นต้องมีเป้าหมาย มียุทธศาสตร์ แต่ถ้าจะออมบ้างแต่ทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ไลน์เดิม ก็เป็นไปตามเป้าหมาย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยเริ่มดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือน ตนเพียงแต่ต้องการให้ข้าราชการไปรับฟังข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา เพื่อที่จะให้การทำงานสอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่ได้เป็นการทำการเมืองอะไรทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพูดคุยกับเขา บางพื้นที่นานๆ ทีจะเจอข้าราชการ
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า มาตรการในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมีหลายด้าน เรามีทั้งปัญหาสุขภาพ ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ และเรามีปัญหาที่มีมาโดยตลอดคือความยากจน ปัญหาอุทกภัยน้ำท่วม ปัญหาหนี้สินครัวเรือน ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม
ปัญหาเรื่องขีดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งหมดได้บรรจุไว้ในยุทธศาสตร์ชาติเพื่อแก้ปัญหาให้ตรงประเด็นและจัดสรรงบประมาณในโครงการต่างให้ตรงเป้าหมาย แต่ถ้าทุกคนไม่ช่วยกันก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ จึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันดูยุทธศาสตร์ชาติว่าทำงานกันโดยอย่างไร พร้อมระบุว่า ตนยืนยันไม่ได้ว่าเป็นเรื่องการยึดครองอำนาจหรืออะไรทั้งสิ้น
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี ย้ำว่าตนไม่ได้ไปก้าวล่วงอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรี เราต้องให้เกียรติในฐานะเป็นเพื่อนร่วมงาน ด้วยความหวังดี เช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร แม้จะเป็นการปกครองแบบพิเศษก็ต้องคุยกัน แต่ก็ต้องคุยกับท่านในทางสร้างสรรค์ เป็นพี่เป็นน้องกัน การไปเยี่ยมเยียนก็เป็นการทำงานไม่ได้เป็นเรื่องการเมืองอะไรทั้งสิ้น สังคมไทยแตกต่างจากต่างประเทศ การขาดการติดต่อสื่อสารจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ในเวลา 7 ปีที่ผ่านทุกอย่างอยู่ในศีรษะของตน บางอย่างไปได้เร็ว บางอย่างไปได้ช้า บางอย่างติดขัด แต่ถ้ามาช่วยคิดให้ตรงกันทุกอย่างจะไปได้หมด แต่ถ้าขัดกันไปขัดกันมา ตรงนั้นดี ตรงนั้นไม่ดี หรือต้องดีกว่านี้อีก ทั้งนี้ ถ้าเรามาช่วยกันทำให้ดีให้ครบเดินหน้าเป็นสเต็ปไปจะดีกว่า เพราะอย่าลืมว่างบประมาณเราก็มีแค่นี้ เราต้องช่วยกันสร้างความเข้าใจ ทั้งนี้ โครงการที่รัฐบาลทำมาทั้งหมด อาทิ โครงการเราชนะ โครงการคนละครึ่ง สามารถเข้าถึงคนทุกกลุ่มทุกกลุ่ม
โดยเข้าถึงประชากร 40 ล้าน หรืออย่างน้อย 20 ล้านคน ทั้งหมดเพื่อให้เขาสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเหมาะสมที่สุด คือมีมากใช้มากมีน้อยใช้น้อย มีเหตุมีผล มีความพอประมาณ มีภูมิคุ้มกันที่ดีภายใต้ความรู้คู่คุณธรรม ขอร้องว่าอย่าให้ใครมาบิดเบือน เพราะความต้องการของมนุษย์ไม่มีวันสิ้นสุด ตนเข้าใจดี แต่เราต้องพอประมาณไม่เช่นนั้นหนี้จะเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จะกลายเป็นหนี้นอกระบบ วันนี้เทคโนโลยีเจริญรวดเร็ว คนของเราจึงต้องมีหลักคิดมีหลักการ และกระบวนการ ไม่ใช่พอนับ 1 ก็กระโดดไป 10 เลย แต่ตนพร้อมจะทำให้ดีที่สุด
นายกรัฐมนตรี กล่าวด้วยว่า สิ่งที่รัฐบาลพยามทำคือการสร้างความเท่าเทียมทางโอกาสไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจนจะต้องเข้าถึงถึงโอกาส อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันจะละเมิดซึ่งกันและกันไม่ได้ และความเป็นธรรมในการดูแลผู้มีรายได้น้อยเกษตรกร กลุ่มเปราะบางและอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลทำคนเดียวไม่ได้ ทุกคนจะต้องจับมือไปด้วยกัน โดยเอาหลักการมาด้วยกัน และดูว่าใครจะทำตรงไหน ยึดโยง และดูว่าปัญหาอุปสรรคอยู่ตรงไหน ไม่เช่นนั้นก็จะไปไม่ได้
กฎหมายกี่ร้อยกี่พันฉบับรัฐบาลแก้ไปแล้วเกิน 50% ที่ติดอยู่เพราะไม่ผ่านโดยเฉพาะการประชาพิจารณ์ แต่ถ้าไม่แก้ตรงนี้ก็ไปไม่ได้ เพราะความต้องการยังเหมือนเดิมคือ ตัวเองไม่อยากเปลี่ยนแปลงแต่อยากได้สิ่งที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญที่สุดคือกฎหมายและกฎระเบียบ
“เรื่องของการลงทุนถ้าผมเป็นเจ้าของธนาคารผมจะให้ทั้งหมด ในเรื่องสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแต่มันไม่ใช่ของผม แต่เป็นของเอกชนที่มีผู้ถือหุ้น จะไปสั่งให้ลดนั่นลดนี่ทำไม่ได้ ทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่ใช่ว่าทำไมนายกฯไม่สั่ง การจะจัดสรรอะไรต้องคิด ต้องปรึกษา ต้องมีคำตอบจากคณะทำงานว่าทำได้หรือไม่ได้ ถ้าสั่งได้ผมสั่งให้ทั้งหมดไปแล้ว แต่ถ้าทำจริงก็จะหาว่าเป็นเผด็จการเข้าไปอีก แค่ผมสั่งให้ทหารปลูกผักชี พูดไม่ครบถึงผักชนิดอื่นก็โดนแล้ว ทหารเขาปลูกไว้กินใครจะซื้อก็ซื้อ ใครไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร จะได้ไม่ต้องไปซื้อของแพง ทหารปลูกไว้แจกด้วยซ้ำ เขาปลูกอยู่แล้วในค่ายทหาร ไม่ได้ว่าจะไปแข่งกับใคร ถ้าใครลำบากก็มาซื้อในที่ทหาร เรื่องรถขนส่งก็เช่นกัน ถ้าเดือดร้อนขึ้นมาจริงๆ ขาดแคลนสินค้าขนส่งก็มาขอทหารผมต้องช่วย"
ยังกล่าวอีกว่า ตนไม่ได้เปิดการขนส่งแข่งกับใครอย่าไปฟังเขาบิดเบือน ถ้ามันเดือดร้อนขึ้นมาไม่มีรถวิ่งเลยแล้วจะทำอย่างไร จะให้แบกกระสอบเดินกันหรือ พูดไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนั้น แต่บางทีก็ถูกบิดเบือนเยอะแยะไปหมด ส่วนเรื่องการผ่อนปรนการชำระหนี้ทำไปหมดแล้ว แต่ถ้าจะกู้มากกว่านี้สามารถทำได้ถ้าทุกคนยอมรับ ทั้งนี้ เศรษฐกิจจะเริ่มดีขึ้นในปี 2565-2566 -2567 ถ้าโรคระบาดไม่กลับขึ้นมาอีกหรือมีอย่างอื่นเข้ามาอีก เช่น ความขัดแย้งในภูมิภาคอาเซียนหรือทะเลจีนใต้ หรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เราจะต้องดูตรงนั้นด้วย รวมถึงราคาน้ำมันเป็นอย่างไร ปตท.อยู่กับใคร ต้นทุนการผลิตมีอะไรบ้าง ภาษีเก็บจากตรงไหน เก็บอย่างไร ต้องส่งคืนกระทรวงการคลังหรือไม่
ทุกอย่างยึดโยงกันทั้งหมด ตอนนี้พยายามพยุงราคาน้ำมันดีเซลให้ได้ในราคาลิตรละ 30 บาท แต่ถ้าลดลงได้อีกก็จะพยายาม เราต้องคิดให้เป็นต้องหาข้อมูลให้ครบ ถ้าไม่ช่วยกันก็ทำอะไรไม่ได้ ทั้งหมดยืนยันโอกาสของประเทศไทยสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจสร้างความแข็งแกร่งได้ แต่ต้องแข็งแกร่งอยากยั่งยืน ไม่ใช่ยั่งยืนแบบหลวมๆ หรือหลอกกันไปมา จึงจำเป็นต้องมีเป้าหมาย มียุทธศาสตร์ แต่ถ้าจะออมบ้างแต่ทั้งหมดก็กลับเข้าสู่ไลน์เดิม ก็เป็นไปตามเป้าหมาย สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของไทยเริ่มดีขึ้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า อย่างโครงการ 1 ข้าราชการ 1 ครัวเรือน ตนเพียงแต่ต้องการให้ข้าราชการไปรับฟังข้อมูลเพื่อแก้ปัญหา เพื่อที่จะให้การทำงานสอดคล้องกับสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไม่ได้เป็นการทำการเมืองอะไรทั้งสิ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีใครพูดคุยกับเขา บางพื้นที่นานๆ ทีจะเจอข้าราชการ
-------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น